AU Fanfic แสงสว่างที่สูญสิ้น (1/3) (จางเยี่ย + อวี้เยี่ย)

AU Fanfic แสงสว่างที่สูญสิ้น (1/3)

 

Pairing: จางเยี่ย + อวี้เยี่ย

 

หมายเหตุ: เป็น setting โลกแฟนตาซี ศาสนจักรที่กล่าวถึงในเรื่องถูกสมมติขึ้นมา, ตัวละคร occ, ขอบคุณครที่โปรยกาว

 

 

“อึก ร้อน ข้างในตัวท่าน… ร้อนมาก ทำให้รู้สึก… ดี แฮ่ก มาก”

“งั้นก็ขยับให้เร็วกว่านี้อีกหน่อย เจ้าคงไม่ได้มีแรงเพียงเท่านี้ใช่ไหม”

เสียงหอบหายใจหนักหน่วงและเสียงเนื้อกระทบกันดังมาจากมุมมืดที่เป็นจุดอับสายตาในโบสถ์เล็กๆ คาดเดาได้ไม่อยากว่าเจ้าของเสียงทั้งสองกำลังทำอะไรกันอยู่ ทว่าชายหนุ่มในชุดบาทหลวงสีขาวบริสุทธิ์ยังคงนั่งคุกเข่าสวดมนต์หน้าแทนบูชาต่อไปอย่างตั้งใจ

เสียงครางอย่างสุขสมดังขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกับที่จางซินเจี๋ยท่องบทสวดมาถึงคำสุดท้าย เขาก้มศีรษะแตะลงบนมือที่ประสานกัน แสดงความเคารพต่อพระผู้เป็นเจ้าแล้วค่อยลุกขึ้นยืน เดินไปยังจุดกำเนิดเสียงเมื่อสักครู่

“ไม่ไหวแล้วหรือ ข้ายังไม่…”

“ปล่อยเขาซะ เจ้าปีศาจ” จางซินเจี๋ยกางคัมภีร์ไบเบิ้ลในมือ แสงสว่างเรืองรองจากคัมภีร์ดั่งกล่าวบ่งบอกว่าผู้ใช้กำลังร่ายเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์อยู่

“โอ๊ะ ที่แท้ก็ไม่ได้หูหนวกหรอกรึ” ผู้ที่ถูกเรียกว่าปีศาจหันไปมองชายในชุดบาทหลวง ดวงตาสีอำพันทอประกายยั่วเย้าอยู่ในที

“คลายมนตร์ร้ายของเจ้าเสีย” จางซินเจี๋ยมองสานุศิษย์ที่อยู่ในอ้อมกอดของปีศาจร้าย เสื้อผ้าหลุดลุ่ยโดยเฉพาะช่วงล่างที่อยู่ในสภาพกึ่งเปลือย ทั้งยังเชื่อมต่อกับปีศาจร่านราคะตนนี้อยู่ ดวงตาของเด็กหนุ่มที่ถูกล่อลวงดูเหม่อลอย ประเมินได้ไม่ยากว่าถูกมนตร์สะกดใจของอินคิวบัสตรงหน้าเล่นงานเข้าเต็มเปา

“ไม่รู้หรือไร ว่าการขัดจังหวะเวลาผู้อื่นกำลังรับประทานอาหารนั้นช่างไร้มารยาท” เจ้าของนัยน์ตาทรงเสน่ห์ที่หางตาชี้ตกพูดเสียงกลั้วหัวเราะ ตั้งท่าจะบดเบียดสะโพกเข้าหาสานุศิษย์ที่ครางเสียงแผ่ว ทว่าแสงพระโอวาทที่สาดส่องลงมาทำให้เขาต้องรีบผละตัวถอยหนี

เยี่ยซิวจับจ้องไปยังผู้ร่ายมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยดวงตาเป็นประกาย “ข้าจะปล่อยหนุ่มน้อยคนนี้ไปก็ได้ แลกเปลี่ยนกับการที่ท่านบาทหลวงยอมเล่นสนุกกับข้าสักคืน”

“มนตร์สะกดของเจ้าใช้ไม่ได้ผลกับข้าหรอก” จางซินเจี๋ยดันแว่นเข้าที่แล้วเริ่มร่ายมนตร์กำแพงแห่งแสงครอบลงบนตัวสานุศิษย์ที่ตกอยู่ใต้อำนาจของปีศาจ

“ไม่เลว เห็นแก่ที่ท่านบาทหลวงหล่อเหลา เป็นอาหารตาชั้นยอด คืนนี้ข้าจะยอมถอยไปก่อนก็แล้วกัน” อินคิวบัสตวัดผ้าคลุมร่างแล้วหายตัวไปอย่างรวดเร็ว

จางซินเจี๋ยไม่คิดจะไล่ตาม เหตุเพราะ หนึ่ง เขาให้ความสำคัญกับสานุศิษย์มากกว่า สอง หน้าที่ปราบปีศาจเป็นของเหล่าเอ็กโซซิสต์ มิใช่บาทหลวงเช่นเขา การก้าวก่ายหน้าที่ของกันและกันถือเป็นเรื่องที่ผิดธรรมเนียม และข้อสุดท้ายที่สำคัญที่สุด คือ อีกสิบนาทีจะถึงเวลาชำระล้างร่างกายและเข้านอนของเขาแล้ว

เช้าวันต่อมาจางซินเจี๋ยยังคงปฏิบัติตัวตามตารางอย่างเคร่งครัด แต่ก็ไม่ลืมแวะไปเยี่ยมสานุศิษย์ตัวน้อยคนนั้น เด็กหนุ่มมีอาการอ่อนเพลียและมึนงง ดูเหมือนจะจำเหตุการณ์เมื่อคืนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย บาทหลวงแซ่จางไม่แปลกใจ ปีศาจราคะที่ถูกเรียกขานว่าอินคิวบัสบ้าง ซัคคิวบัสบ้าง ล้วนมีมนตร์เสน่ห์ติดตัว หากจิตใจไม่มั่นคง อีกทั้งร่างกายมีพลังเวทเพียงน้อยนิด ย่อมมิอาจต้านทานมนตร์ร้ายเช่นนั้นได้

จางซินเจี๋ยเป็นบาทหลวงขั้นสาม ถูกส่งมาประจำที่โบสถ์หลังนี้โดยมีเขาเป็นนักบวชเพียงคนเดียว อีกสามคนที่เหลือเป็นสานุศิษย์ที่ยังอยู่ในช่วงฝึกฝนร่างกายและจิตใจ เหตุที่โบสถ์หลังนี้มีจำนวนคนน้อยก็เพราะมันเป็นโบสถ์หลังเล็กที่ถูกสร้างตั้งแต่ร้อยกว่าปีก่อน เมื่อเมืองขยายขนาดขึ้น พื้นที่ในโบสถ์แห่งนี้ไม่เพียงพอต่อการรองรับผู้ศรัทธาที่แวะเวียนมาสวดมนต์หรือรับพร ดังนั้นทางศาสนจักรจึงมีคำสั่งลงมาให้สร้างโบสถ์หลังใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม แต่ไม่รื้อโบสถ์หลังนี้เพราะมันมีคุณค่าทางจิตใจสำหรับผู้คน และเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์

บาทหลวงเช่นเขามีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของโบสถ์ นำสวดมนต์ เทศน์สอนและโปรดศีลศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ผู้ศรัทธา นอกจากนี้ยังต้องรับฟังคำสารภาพบาป สวดให้อภัยโทษแก่ผู้หลงผิดที่กลับใจได้ ซึ่งวันนี้มีผู้เข้ามาในห้องสารภาพบาปสองคนแล้ว

ขณะที่จางซินเจี๋ยกำลังจะเดินออกจากห้องเพื่อไปสวดมนต์ตอนเย็น ก็มีบุคคลที่สามเข้ามาในห้องสารภาพบาปเสียก่อน บาทหลวงหนุ่มจึงนั่งลงอีกครั้ง เตรียมรับฟังคำสารภาพจากลูกแกะหลงทางโดยมีฉากกั้นสีดำคั่นกลาง

“คุณพ่อ ผมมีเรื่องอยากสารภาพ”

“พระเจ้าสถิตอยู่ตรงนี้ และท่านกำลังรับฟังเจ้าอยู่”

“ผม… ตกหลุมรักบาทหลวงคนหนึ่ง พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เขาสนใจ แต่เขาก็ไม่ไยดี ทั้งยังทำตัวเย็นชาใส่ ผมทราบว่าบาทหลวงต้องครองตนให้สะอาดบริสุทธิ์ แต่เขาดูดีมาก โครงหน้าหล่อเหลา ร่างกายสมส่วนเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ผมรู้ว่าไม่ควรดึงเขาลงมาแปดเปื้อน แต่ก็ไม่สามารถห้ามความรักที่แผดเผาในจิตใจได้ ผมควรทำอย่างไรดี”

“ที่นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ไร้ซึ่งศรัทธาทั้งยังเป็นปีศาจโสมมสมควรหายไปซะ”

แสงสว่างสาดส่องลอดออกมาจากห้องสารภาพบาปหลังน้อย จางซินเจี๋ยก้าวเท้าออกจากประตูฝั่งหนึ่ง อีกฝั่งเป็นปีศาจที่อยู่ในรูปลักษณ์ของมนุษย์ สวมชุดสูทพร้อมหมวกทรงสูงและมีไม้เท้าในมือ ดูทรงภูมิประหนึ่งขุนนางเก่าแก่ แต่จางซินเจี๋ยจดจำเสียงทุ้มต่ำเปี่ยมเสน่ห์นั้นได้ นอกจากนี้ยังสัมผัสได้ถึงไอปีศาจเบาบางที่แผ่ออกมา

“จำเสียงของข้าได้ด้วยหรือ แสดงว่าอันที่จริงเจ้าก็สนใจข้าอยู่มิใช่น้อยสินะ บาทหลวงรูปงาม”

จางซินเจี๋ยไม่เสียเวลาโต้ตอบด้วยคำพูด เวทไฟศักดิ์สิทธิ์ถูกร่ายออกมาทันที เขามีหน้าที่ปกป้องดูแลความเรียบร้อยในโบสถ์ ดังนั้นหากปีศาจตนนี้ไม่ยอมรามือ เขาก็มีเหตุผลอันชอบธรรมที่จะขับไล่ปีศาจ

“ใจร้อนเสียจริง ข้าแค่อยากมาแนะนำตัว อินคิวบัสเยี่ยซิว ยินดีที่ได้รู้จัก” ปีศาจในร่างมนุษย์กล่าวได้อีกหนึ่งประโยคก็ต้องเคลื่อนที่หลบเวทที่ถูกยิงมาอีกครั้ง

“ตามธรรมเนียมของมนุษย์ หากมีผู้แนะนำตัวและต้องการทำความรู้จักด้วย เจ้าก็ควรจะบอกกล่าวชื่อตัวเองบ้างมิใช่หรือ”

“ธรรมเนียมของเรามีไว้สำหรับมนุษย์ หาใช่ปีศาจอย่างเจ้า” จางซินเจี๋ยก้าวเท้าเบี่ยงไปทางซ้าย ค่อยๆ ไล่ต้อนเจ้าปีศาจเบื้องหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

“ปีศาจเอย มนุษย์เอย ต่างกันที่สิ่งใดเล่า ข้าก็มีหัวใจเช่นกัน”

“ปีศาจคือสิ่งโสโครกที่ไม่ได้เกิดจากพระผู้เป็นเจ้า เป็นตัวตนที่สร้างความเดือดร้อนและไม่สมควรมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้”

“ท่องมาจากพระคัมภีร์แทบจะทุกตัวอักษร เป็นเด็กคงแก่เรียนสินะ” เยี่ยซิวหัวเราะหึหึ แล้วถอยหลังอีกก้าว บาทหลวงท่านนี้ แม้จะประดับยศว่าอยู่ขั้นสามซึ่งเป็นขั้นที่ต่ำที่สุดของบาทหลวง แต่พลังเวทมนตร์นั้นเป็นสายศักดิ์สิทธิ์ไร้สิ่งเจือปน ทั้งยังเรียกใช้ได้แม่นยำแทบไม่มีสูญเปล่า แต่เยี่ยซิวก็พอดูออกว่าคนตรงหน้ามีเวทโจมตีเพียงสองบทเท่านั้น ดูเหมือนจะเชี่ยวชาญการสนับสนุนและก่อกวนเสียมากกว่า

“คิดจะจับข้านั้นช่างง่ายดาย บอกแล้วอย่างไรเล่าว่าข้ายินดีให้จับ ขอเพียงได้เล่นสนุกกับเจ้าสักคืน”

จางซินเจี๋ยไม่ว่อกแว่กกับคำชักชวนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยมนตร์สะกด ปากขยับมุมมิบเพื่อร่ายเวทตาข่ายแห่งแสง อาศัยแสงจากดวงตะวันที่ส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ช่วยกลบร่องรอยเวทมนตร์ หากเขาไล่ต้อนเยี่ยซิวจนใกล้ถึงใจกลางจุดวงเวทได้ อินคิวบัสตนนี้ย่อมไม่อาจหนีรอดจากตาข่ายที่พุ่งจับทุกทิศทางได้

“ว่าอย่างไรเล่า สนใจหรือไม่”

“ไม่!”

อีกนิดเดียว

“ตาข่ายเช่นนั้นกักขังข้าไม่ได้หรอกนะ” ปีศาจหนุ่มพูดอย่างไม่ยีระ

หากเป็นคนอื่นคงตกใจจนการร่ายเวทชะงักไป แต่จางซินเจี๋ยไม่เป็นเช่นนั้น ดวงตาหลังเลนส์แว่นเพียงแค่ฉายแววแปลกใจที่ถูกล่วงรู้แผนการ แต่มนตร์ที่ร่ายมายังคงถูกเรียกใช้ทันที ตาข่ายแห่งแสงปรากฏขึ้นตรงหน้า ตวัดรวบตัวอินคัวบัสเอาไว้

ทว่า

อีกฝ่ายกลับสะปีกสีดำสนิทเพียงครั้งเดียว เวทตาข่ายก็จางซินเจี๋ยก็สลายไปทันที

“น่าเสียดายนะ คราวหน้าต้องวางแผนให้ดีกว่านี้ล่ะ” เยี่ยซิวฉีกยิ้ม ก่อนจะหายตัวไปก็บ่นพึมพำอย่างไม่จริงจังว่า

“บาทหลวงทั้งทีแต่กลับไม่ใจกว้างเอาเสียเลย ช่างแตกต่างจากบาทหลวงอวี้ที่โบสถ์โน้น”

จางซินเจี๋ยวาดมือเก็บไบเบิ้ลศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปกรณ์เวทมนตร์ของนักบวชแห่งแสง ดวงตาฉายแววสงสัย

บาทหลวงอวี้?

อวี้เหวินโจวคนนั้นน่ะหรือ?

***

“อืม ชักช้าเกินไปแล้ว ตรงนั้นของเจ้าพิการเหมือนมือหรือไร อึก” คำหยอกเย้าแปรเปลี่ยนเป็นเสียงครางกระเส่า ของเหลวหล่อลื่นจากร่างกายของอินคิวบัสไหลเยิ้มออกมาจากช่องทางที่กำลังถูกเติมเต็มด้วยความเร่าร้อน ช่วยให้การสอดใส่เป็นไปอย่างง่ายดาย

เสียงเฉอะแฉะดังเป็นพักๆ ยามที่แก่นกายใหญ่โตขยับเข้าออกเพื่อปรนเปรอให้ปีศาจราคะอิ่มหนำสำราญ

“ดูเหมือนช่วงนี้ท่านจะหิวกระหายเป็นพิเศษนะครับ มายลอร์ด” ชายหนุ่มตาสีครามเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากของเยี่ยซิว ด้านล่างยังคงเคลื่อนไหวอย่างดุดัน กดเบียดไปยังจุดกระสัน แล้วชักออกเพื่อครูดไปตามผนังอ่อนนุ่มที่ตอดรัดเขาเป็นพักๆ

“นั่นสินะ หวังว่าดาบศักดิ์สิทธิ์ของเสี่ยวอวี้จะแข็งแกร่งพอ” เยี่ยซิวแลบลิ้นเลียริมฝีปาก แล้วก็ถูกอีกฝ่ายรุกล้ำเข้ามาในโพรงปาก ลิ้นของอวี้เหวินโจวกวาดไปทั่ว เสียงจ๊วบจ๊าบดังขึ้นภายในห้องพักของบาทหลวงขั้นหนึ่ง

อวี้เหวินโจวยอมปล่อยริมฝีปากของอินคิวบัสให้เป็นอิสระ รสชาติเลือดคาวคลุ้งในปาก เจ็บแปลบๆ ที่ลิ้นซึ่งถูกอีกฝ่ายขบด้วยความมันเขี้ยว เขาลากนิ้วไปตามเส้นลึงค์ของท่อนลำสีสด หัวเราะเมื่อมันสั่นน้อยๆ แล้วบาทหลวงหนุ่มก็หลุดครางเสียงต่ำเมื่อช่องทางที่กำลังกลืนกินดาบของเขาบีบรัดตัวเสียแน่น

“อยากได้น้ำมนต์แล้วหรือครับ”

“รู้อยู่แล้วก็เลิกชักช้าเสียที”

อวี้เหวินโจวตอบรับด้วยการกระทำ มีเยี่ยซิวไขว้ขารัดสะโพกเพื่อตอบสนองต่อจังหวะกระแทกกระทั้น

ปีศาจที่ทอดกายให้บาทหลวงรู้สึกได้ว่าดาบที่เสียดแทงเข้ามาขยายขนาดมากกว่าเดิม เสียวซ่านจนหลุดครางอีกครั้ง และเมื่อถูกกอบกุมสะโพกตามมาด้วยการบดขยี้ที่จุดไวสัมผัส ร่างกายของเยี่ยซิวก็กระตุกวูบ ดวงตาสีอำพันหรี่ปรืออย่างเคลิบเคลิ้ม รสชาติของราคะที่เติมเต็มเข้ามาในร่างช่างให้ความรู้สึกดีเหลือเกิน

อวี้เหวินโจวมองปีศาจที่กำลังซึมซับรสชาติอาหารรวมถึงดูดซับพลังเวทจากตัวเขา ดวงตาสีครามทอประกายอ่อนโยนทว่าก็แฝงไปด้วยความหวงแหน

เยี่ยซิวเป็นปีศาจอินคิวบัส อวี้เหวินโจวรู้เรื่องนี้มานานแล้ว แต่เขาไม่คิดจะสนใจเพราะเขาไม่ได้ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าหรือซาบซึ้งในพระคำสอนแต่อย่างใด

เหตุเพราะศรัทธาของเขาคือเยี่ยซิว

เขาเลือกเป็นนักบวชก็เพราะสถานภาพนี้จะช่วยให้ตนดูแลปกป้องเยี่ยซิวได้ดีที่สุด

***TBC***

 

คุยกันเล็กน้อย (17/2/62): แฮ่ม อยากเขียนธีม AU นักบวชกับปีศาจมานานแล้ว ถึงจะดูบาปแต่ก็กร๊าวใจ ตอนนั้นภาพที่เคยเห็นคือจางเยี่ย แต่สุดท้ายมันก็ไม่กลั่นตัวเป็นฟิคสักที จนกระทั่งกระรอกสีเทามาเป่าหู ตามด้วยสาดกาวถังใหญ่โครมเข้าให้ ล่อลวงจนเราวางหวังเยี่ยเรื่องยาวแล้วหนีมาปั่นเรื่องนี้ก่อน ตอนแรกคิดว่าคงเป็นเรื่องสั้นจบในตอน แต่แต่งไปแต่งมา ดูแล้วคงสักสามตอนจบ

Leave a comment