AU Fanfic แสงสว่างที่สูญสิ้น (3/3)
Pairing: จางเยี่ย + อวี้เยี่ย
หมายเหตุ: เป็น setting โลกแฟนตาซี ศาสนจักรที่กล่าวถึงในเรื่องถูกสมมติขึ้นมา, ตัวละคร occ
หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้นจางซินเจี๋ยยังคงปฏิบัติตัวตามปกติ ทว่าหากสังเกตให้ดีจะพบว่าบาทหลวงท่านนี้มักจะเผลอมองหาเงาร่างของปีศาจตัวป่วนตามจุดที่อีกฝ่ายเคยปรากฏตัว นอกจากนี้ยามตื่นนอนตอนเช้าก็จะรู้สึกอึดอัดกับความร้อนผ่าวที่ตั้งตระหง่าน ต้องอาศัยน้ำเย็นมาชำระล้างจนสงบลง จางซินเจี๋ยทราบดีว่าสภาวะของตนนั้นไม่ปกติ เขาได้แต่หันหน้าเข้าหาแท่นบูชา สวดมนต์ให้มากกว่าเดิมเพื่อดึงจิตใจที่มั่นคงไม่สั่นคลอนกลับมา
“สวัสดี บาทหลวงจาง”
จางซินเจี๋ยมองอดีตเพื่อนร่วมรุ่นที่แวะมาเยี่ยมเยียนเขาถึงโบสถ์หลังเล็ก บาทหลวงอวี้เหวินโจวผู้ก้าวไปไกลกว่าเขาด้วยความสามารถด้านการสร้างภาพ คนผู้นี้ปิดบังตัวตนอย่างดี สวมหน้ากากบาทหลวงบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่ในใจกลับฝักใฝ่ในปีศาจ
ตอนแรกที่ได้ยินคำบ่นพึมพำจากปากของปีศาจราคะ จางซินเจี๋ยย่อมไม่เชื่อว่าอวี้เหวินโจวผู้แสนดีจะเป็นคนเช่นนั้น แต่เขาไม่สามารถปล่อยผ่านข้อหาที่ร้ายแรงเช่นนี้ได้ จึงต้องแวะไปยังโบสถ์ที่อวี้เหวินโจวดูแลเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจ จางซินเจี๋ยเลือกวันที่อีกฝ่ายต้องไปรายงานตัวที่ศาสนจักร ด้วยยศบาทหลวงขั้นสาม เขาจึงสามารถเดินไปรอบๆ โบสถ์ได้โดยไม่ถูกสานุศิษย์สงสัย
จางซินเจี๋ยไม่พบร่องรอยหรือกลิ่นอายของปีศาจ ขณะที่เพิ่งจะโล่งใจ เขาก็ถูกขอร้องให้ไปช่วยปฏิบัติงานแทนบาทหลวงขั้นสองทั้งสองคนที่ท้องไส้ปั่นป่วนหลังจากรับประทานอาหารกลางวัน
ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในห้องสารภาพบาป จางซินเจี๋ยก็ต้องขมวดคิ้ว
เป็นกลิ่นของเยี่ยซิว ถึงจะจางมากก็ตาม
เขาถูกปีศาจตนนั้นผุบๆ โผล่ๆ มาปั่นหัวไม่หยุด กลิ่นประจำตัวอันแสนจะมีเอกลักษณ์นั้น ต่อให้ไม่อยากก็ยังจดจำได้อยู่ดี
เมื่อเขามอบศีลอภัยบาปแก่ผู้ศรัทธาที่แวะเวียนมาที่โบสถ์เสร็จเรียบร้อย ก็ไล่ตรวจสอบพื้นที่แคบๆ ในกล่องสี่เหลี่ยมนี้ แล้วก็พบกับคราบสีขาวแห้งเกรอะกรังหย่อมเล็กๆ หย่อมหนึ่งใต้ฉากกั้นระหว่างผู้รับฟังและผู้สารภาพบาป หากไม่ยกฉากกั้นดังกล่าวขึ้นก็คงจะไม่เห็น
ดูเหมือนนอกจากอวี้เหวินโจวจะไม่เคารพพระเจ้าแล้ว ยังหยามเหยียดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย อีกฝ่ายคงพยายามทำความสะอาดอย่างเรียบร้อย แต่ของเหลวนั้นกระเด็นไปอยู่ใต้ฉากกั้นด้วยความบังเอิญ
นี่คงเป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า…
จางซินเจี๋ยมีความมั่นใจถึงแปดในสิบส่วน เขาเริ่มตรวจสอบประวัติของอวี้เหวินโจวทีละนิด ถึงอีกฝ่ายจะพยายามปกปิดอย่างดีแต่จางซินเจี๋ยก็พบกับข้อสงสัยเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับการทำงานของบาทหลวงท่านนี้ น่าเสียดายที่เขาไม่อาจหาหลักฐานที่ชัดเจนได้ ซ้ำเรื่องราวยังอาจไปพัวพันถึงนักบวชระดับสูงผู้ดำรงตำแหน่งอาร์คบิชอปในศาสนจักรแห่งแสง จางซินเจี๋ยทราบขีดจำกัดของตัวเองดี ด้วยตำแหน่งของเขาในตอนนี้ ยังไม่สามารถแตะต้องอวี้เหวินโจวและคนเบื้องบนได้ จึงต้องเก็บปัญหานี้ไว้แก้ไขในภายหลัง
แต่สำหรับเรื่องปีศาจตนนั้น เขามั่นใจว่าสามารถจัดการได้ นำไปสู่การขอเอ็กโซซิสต์จากศาสนจักรและการกำจัดเยี่ยซิวในเวลาต่อมา
“สวัสดี บาทหลวงอวี้ ไม่ทราบว่ามีอะไรที่ข้าจะพอช่วยท่านได้หรือไม่” จางซินเจี๋ยกล่าวเสียงเรียบ แต่แววตาหลังเลนส์แว่นนั้นฉายแววแปลกใจ เหตุเพราะอวี้เหวินโจวผู้สง่างามและสงบนิ่งราวกับสายน้ำฉ่ำเย็น บัดนี้มีสภาพราวกับใกล้คลุ้มคลั่งเต็มทน
ดวงตาที่เคยเป็นสีครามกลับมีสีแดงฉานจากเส้นเลือดฝอยที่แตก ทั้งยังฉายแวววิปลาส ชุดบาทหลวงสีขาวบริสุทธิ์มีรอยประเปื้อนและยับยู่ยี่ราวกับไม่ได้เปลี่ยนมาหลายวัน
“เขาหายไปเกินสองสัปดาห์แล้ว…” อวี้เหวินโจวสาวเท้าเข้ามาอีกก้าว ส่วนจางซินเจี๋ยก็เตรียมควักไบเบิ้ลมาเป็นอาวุธป้องกันตัว
“ทั้งๆ ที่ ปกติจะต้องกลับมาหาข้าเสมอ เจ้า…ฆ่าเขาไปแล้วอย่างนั้นหรือ”
“ข้าเชื่อว่าท่านทราบคำตอบอยู่แล้ว จะเสียเวลาถามไปเพื่อเหตุใด”
“ฆ่าไปแล้วสินะ กลิ่นของเขายังติดตรึงอยู่บนตัวเจ้า กลิ่นที่หอมหวนแสนจะมีเอกลักษณ์ ถึงจะผ่านไปร่วมสัปดาห์ก็ยังคงอยู่” อวี้เหวินโจวคว้าเสื้อของจางซินเจี๋ยขึ้นมาโดยที่จางซินเจี๋ยไม่ตอบโต้ เพราะมั่นใจแล้วว่าผู้มาเยือนไม่มีอาวุธ
และอวี้เหวินโจวย่อมไม่กล้ากระทำการใดที่สุ่มเสี่ยงต่อการฉีกหน้ากากแสนดีของตัวเองเป็นแน่
“ท่านเองก็รู้ดีว่าเขาเป็นปีศาจ เหตุใดจึงยังหลงใหลมัวเมาเช่นนี้” จางซินเจี๋ยอดถามออกมาไม่ได้
“ปีศาจแล้วอย่างไร? โลหิตของเขาก็ยังเป็นสีแดง เจ้าคงได้พิสูจน์แล้ว”
ภาพอินคิวบัสที่ถูกพันธนาการและสิ้นชีพใต้คมกริชผุดขึ้นมาในหัว
หยาดโลหิตสีแดง ดวงตาสีอำพัน ริมฝีปากนุ่มนิ่ม และกลิ่นที่ยั่วเย้า…
จางซินเจี๋ยกัดกระพุ้งแก้มเพื่อไม่ให้สติของตนเตลิด เอ่ยปากราวกับจะย้ำเตือนตนเองว่า
“ปีศาจคือสิ่ง…”
ประโยคที่คัดมาจากคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ถูกอวี้เหวินโจวกล่าวขัดว่า “ไม่คิดหรือว่ามนุษย์อย่างพวกเราโสโครกเสียยิ่งกว่า”
บาทหลวงขั้นหนึ่งยกยิ้มที่มุมปาก “หากเจ้าตรวจสอบเบื้องหลังของข้าได้ คงพอทราบเรื่องราวอื่นๆ มาพอสมควรกระมัง”
จางซินเจี๋ยเงียบไปอึดใจหนึ่ง จากข้อมูลที่เขาตรวจสอบทำให้พบว่า แท้จริงแล้วนักบวชระดับสูงหลายคนต่างอาศัยคำว่า ‘ศรัทธา’ กอบโกยเม็ดเงินจำนวนมากจากผู้ที่มาสารภาพบาป บางคนบิดเบือนคำสอนด้วยการบอกว่าการมอบบุตรสาวหรือบุตรชายแก่ศาสนจักรคือการทำบุญอันยิ่งใหญ่ เด็กที่น่าสงสารเหล่านั้นถูกนักบวชวิปลาสกระทำชำเรา เมื่อหมดสิ้นเสน่หาก็ถูกส่งตัวไปค้าประเวณี เอ็กโซซิสต์ระดับสูงที่มีหน้าที่ปราบปีศาจตามคำสั่งของศาสนจักร กลับเรียกเก็บเงินจำนวนมากจากชาวบ้านเป็นค่าตอบแทนส่วนตัว ส่วนแบ่งกึ่งหนึ่งของธุรกิจมืดและการปราบปีศาจเหล่านี้ถูกมอบให้แก่ศาสนจักร ผลกำไรที่มีแต่ได้ไม่มีเสียทำให้ผู้ได้ผลประโยชน์ล้วนเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับการปฏิบัติหน้าที่ที่ขัดกับหลักการอันดีงาม นอกจากนี้แม้แต่ตัวผู้นำศาสนจักรแห่งแสงก็ชุบเลี้ยงมือสังหารไว้ฆ่าคนที่มีแนวโน้มว่าจะขัดขวางการเติบโตของศาสนจักร
“แต่ปีศาจก็ทำร้ายผู้คนเช่นกัน” เสียงของจางซินเจี๋ยนั้นแหบพร่าและเจือความไม่มั่นใจอยู่ในที อวี้เหวินโจวจึงตอกย้ำด้วยคำถามว่า
“หึ ทำร้ายอย่างนั้นหรือ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะไม่ตรวจสอบว่าเขา ‘กิน’ ใครไปบ้าง ขอถามเจ้า บาทหลวงจาง มีเหยื่อรายใดที่เสียชีวิตหรือไม่”
จางซินเจี๋ยขบริมฝีปาก ในที่สุดก็ยอมเอ่ยตามความจริงที่ทราบมาว่า “ไม่มี”
ใช่ แม้จะน่าพิศวง แต่จากการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน ไม่มีใครถูกดึงพลังจากการสมสู่กับปีศาจราคะจนเสียชีวิตเลยแม้แต่คนเดียว
นอกจากนี้ เอ็กโซซิสต์ทั้งสองที่ไล่ฆ่าเยี่ยซิวอย่างเอาเป็นเอาตายนั้นก็ไม่ได้บาดเจ็บถึงขั้นวิกฤต ได้รับการปฐมพยาบาลและนอนพักสักหนึ่งสัปดาห์ก็น่าจะสามารถกลับมาทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติแล้ว
“สำหรับเขา มันเป็นเพียงการรับประทานอาหารเพื่อการดำรงชีวิต แตกต่างอะไรกับการที่จิ้งจอกล่ากระต่าย หรือพวกเราที่กินเนื้อสัตว์ต่างๆ เล่า หากจะกล่าวถึงชีวิตที่ถูกพรากไป นับว่ามนุษย์เช่นเราต่างหากที่คร่าชีวิตสัตว์น้อยใหญ่ไปมากมาย เจ้าคิดเห็นอย่างไร”
“ข้า…”
อวี้เหวินโจวไม่รอคำตอบ กล่าวเสียดสีต่อไปว่า “แต่ในเมื่อเจ้าฆ่าเขาไปแล้ว มากล่าวอะไรตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด จริงสิ ดูเหมือนเจ้าเองก็เคยได้รับการอุปการะจากโบสถ์กลอรี่เช่นเดียวกับข้าใช่หรือไม่”
โบสถ์กลอรี่ หนึ่งในโบสถ์ใต้สังกัดศาสนจักรแห่งแสงที่มีความพิเศษกว่าโบสถ์อื่นๆ คือมีพื้นที่ขนาดใหญ่ไว้รองรับเด็กกำพร้าจากเขตต่างๆ ทั้งที่ดิน ตัวโบสถ์ และบ้านพักสำหรับเด็กที่ถูกทอดทิ้งหรือสูญเสียบิดามารดา ล้วนได้รับความอนุเคราะห์จากขุนนางผู้สูงศักดิ์ตระกูลหนึ่ง ทายาทที่สืบเชื้อสายของตระกูลนั้นบริจาคเงินดูแลโบสถ์กลอรี่มาเป็นเวลากว่าสองร้อยปี แม้ภายหลังจะมีศาสนจักรแห่งแสงเข้ามาดูแลแล้ว ขุนนางตระกูลนั้นก็ยังคงช่วยเหลือด้านทุนทรัพย์แก่โบสถ์เรื่อยมา
จางซินเจี๋ยเคยอาศัยอยู่ในโบสถ์กลอรี่เป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนจะถูกสามีภรรยาคู่หนึ่งรับไปเป็นลูกบุญธรรม ต่างจากอวี้เหวินโจวที่ยืนกรานกับบาทหลวงผู้ดูแลว่าจะขออยู่ที่นั่นจนอายุถึงเกณฑ์โดยพยายามช่วยเหลืองานในโบสถ์เท่าที่ทำได้
“ข้าเคยอยู่ที่นั่นจริง แล้วมัน…”
“ขุนนางที่บริจาคเงินให้โบสถ์ทุกปีคือมาร์ควิสตระกูลเยี่ย”
ชื่อตระกูลที่เหมือนกับปีศาจบางตนทำให้ดวงตาของจางซินเจี๋ยเบิกกว้าง
“แต่เจ้าคงไม่สนใจเรื่องเหล่านี้สินะ” อวี้เหวินโจวหันหลังให้อดีตเพื่อน ทว่าก่อนจะเดินออกจากโบสถ์ก็หมุนตัวกลับมาจ้องจางซินเจี๋ยด้วยแววตาบ้าคลั่งและรอยยิ้มที่ชวนผวาอีกครั้ง
“เอ็กโซซิสต์สองคนนั้นทนพิษบาดแผลไม่ไหว จึงกลับไปรับใช้พระเจ้าเสียแล้ว เจ้าเองก็ระวังตัวให้ดีเถิด บาทหลวงจาง”
***
หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาจางซินเจี๋ยนอนหลับก็จริง แต่กลับรู้สึกเหมือนไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ ยิ่งเมื่อถูกอวี้เหวินโจวไล่ต้อนด้วยคำพูดและความจริง จางซินเจี๋ยก็รู้สึกเหมือนมีตุ้มถ่วงในจิตใจ คืนนี้เขาจึงนอนหลับอย่างกระสับกระส่ายยิ่งกว่าหลายคืนที่ผ่านมา
ในห้วงฝันช่างสับสนวุ่นวาย จางซินเจี๋ยพบกับปีศาจราคะจอมยียวน นัยน์ตาสีอำพันทรงเสน่ห์ เสียงแหบพร่าและประโยคที่ล่อลวงให้เขาทอดกายให้แว่วผ่านเข้าหูสลับคำพูดทั้งหลายของอวี้เหวินโจว
“บอกแล้วอย่างไรเล่าว่าข้ายินดีให้จับ ขอเพียงได้เล่นสนุกกับเจ้าสักคืน”
“สำหรับเขา มันเป็นเพียงการรับประทานอาหารเพื่อการดำรงชีวิต”
“ปีศาจเอย มนุษย์เอย ต่างกันที่สิ่งใดเล่า ข้าก็มีหัวใจเช่นกัน”
“ปีศาจแล้วอย่างไร โลหิตของเขาก็เป็นสีแดง เจ้าคงได้พิสูจน์แล้ว”
“เจ้า…ฆ่าเขาไปแล้วอย่างนั้นหรือ”
ภาพการตายของเยี่ยซิวปรากฏขึ้นอีกครั้ง ชัดเจนราวกับจางซินเจี๋ยได้ย้อนเวลากลับไปอีกครั้ง บาทหลวงสะดุ้งตื่น เหงื่อแตกเต็มตัว เขากุมหน้าของตัวเอง รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่กลางเป้ากางเกงนอน
“เยี่ยซิว…”
จางซินเจี๋ยหลับไม่ลงอีกแล้ว เขาจุดตะเกียง ชูขึ้นเพื่อส่องให้เห็นทางข้างหน้า ในที่สุดก็เดินผ่านทางเชื่อมมาถึงบริเวณประกอบพิธีกรรมของโบสถ์ คุกเขาหน้าแท่นบูชาอีกครั้ง
ศาสนจักรแห่งแสงอาจโสมม แต่ดำรัสและคำสอนจากพระผู้เป็นเจ้านั้นไม่ใช่
เขาต้องตั้งมั่น อย่าได้สงสัยในศรัทธาของตนเอง
จางซินเจี๋ยรู้ดีว่าเขายืนหมิ่นเหม่อยู่บนเส้นแบ่งเขตระหว่างขาวกับดำนับตั้งแต่ได้พบกับอินคิวบัสตนนั้น
เยี่ยซิวเป็นตัวอันตรายต่อศรัทธาของเขา ดังนั้นจางซินเจี๋ยจึงตัดสินใจกำจัดทิ้งโดยเร็ว หาไม่แล้ว สักวันตัวเขาคงจะต้านทานแรงดึงดูดสีดำแสนงดงามนั้นไม่ได้ และหากพลั้งเผลอปล่อยใจไล่ตามปีศาจตนนั้น ก็จักตกสู่หนทางสีดำมืดที่ไม่อาจชำระล้างได้อีกแล้ว
ทว่าก่อนที่จะได้เริ่มกล่าวบทสวดที่จดจำได้ขึ้นใจ สีหน้าของบาทหลวงแซ่จางก็แข็งค้าง กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมาแตะจมูก เมื่อสูดหายใจเข้าอีกเฮือกใหญ่ เขาก็ลุกขึ้น มือที่ถือตะเกียงสั่นเล็กน้อย แต่สองเท้าก้าวอย่างรวดเร็วจนมาหยุดที่หน้าห้องสารบาปภาพ
กลิ่นที่แสนคุ้นเคยทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้หัวใจเต้นสั่นระรัว รู้สึกปวดหนึบที่จุดกึ่งกลางลำตัว จางซินเจี๋ยกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอแล้วผลักประตูเข้าไป
“สายัณห์สวัสดิ์ บาทหลวงรูปงาม…”
เยี่ยซิวที่เปลือยเปล่ายังคงงดงาม ไม่ต่างจากครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน ทว่าสีหน้าที่เคยมีน้ำมีนวลและริมฝีปากอวบอิ่มนั้นกลับไร้สีสันและแห้งผาก หากไม่ได้รับพลัง เกรงว่าอีกไม่นานคงจะดับสูญอีกครั้ง
ว่ากันว่าแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์เมื่อโดนแสงอาทิตย์จะสลายเป็นเถ้าถ่านแต่ไม่ตาย รอเวลาคืนชีพกลับมาภายในเจ็ดวัน ส่วนปีศาจอินคิวบัสจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ จางซินเจี๋ยไม่อาจทราบได้
แต่เยี่ยซิวก็กลับมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้งแล้ว…
จางซินเจี๋ยทรุดตัวคุกเข่าลง เอื้อมมืออันสั่นเทาไปแตะรอยแผลบริเวณหน้าอกของอีกฝ่าย สะเก็ดหลุดออกไปหมดแล้ว เหลือเพียงรอยจางๆ บนผิวหนัง
“อยากแทงข้าอีกครั้งหรือ?”
จางซินเจี๋ยไม่ตอบ แต่กลับยื่นหน้าเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดริมฝีปากก็แตะบนรอยแผลเป็นที่เกิดจากน้ำมือของตน ทุกอย่างเกิดขึ้นตามสัญชาตญาณ เขาแลบลิ้นออกมา เลียซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนรู้สึกพอใจก็เงยหน้าสบตากับดวงตาสีอำพัน
“มาสิ ซินเจี๋ย แค่คืนเดียวเท่านั้น แล้วเจ้าจะแทงข้าอีกสักกี่ครั้งก็ย่อมได้” เจ้าของนัยน์ตาสีอำพันหวานเชื่อมยื่นแขนอ้าออกมาทางเขา แต่ต่อให้เยี่ยซิวไม่เรียกร้อง จางซินเจี๋ยก็พร้อมจะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว
“ท่าน… ท่านบาทหลวงจาง?”
เยี่ยซิวปรือตามองไปยังต้นเสียง นอกประตูห้องสารภาพบาปที่เปิดอ้าซ่ามีสานุศิษย์คนเดียวกับที่เขาเคยเลือกเป็นเหยื่อก่อนได้พบกับจางซินเจี๋ยยืนถือตะเกียงอยู่
เด็กหนุ่มวัยแตกพานที่ไม่เคยรู้จักรสรัก ดูเหมือนภาพตรงหน้าจะทำให้จิตใจของเขาปั่นป่วน บาทหลวงขั้นสาม จางซินเจี๋ยผู้เคร่งครัด กลับขย่มเอากับใครคนหนึ่งอย่างดิบเถื่อนในห้องสารภาพบาปแสนศักดิ์สิทธิ์ และเมื่อเพ่งมองให้ดี เรี่ยวแรงของสานุศิษย์พลันหดหาย ดวงตาเบิกกว้างอย่างตกตะลึง เพราะผู้ที่บาทหลวงจางกำลังร่วมรักด้วยมีเขาเล็กๆ สองอันงอกจากบริเวณหน้าผาก แสงจากตะเกียงวูบไหวเป็นพักๆ แต่ก็พอช่วยให้มองเห็นเงาปีกและหางที่ส่วนปลายเป็นรูปหัวใจ
เป็นปีศาจอย่างมิต้องสงสัย
จางซินเจี๋ยหยุดเคลื่อนไหวเพียงชั่วครู่เท่านั้น ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไปมองผู้เรียก แต่กดปีศาจราคะลงกับพื้นเย็นเฉียบ แล้วเร่งจังหวะยิ่งกว่าเดิม ไม่นานนักเยี่ยซิวก็หลับตาเพื่อดื่มด่ำกับรสชาติของราคะที่ไม่ได้ลิ้มรสมาร่วมสองสัปดาห์ ผ่านไปอีกครู่หนึ่งจึงลุกขึ้นนั่ง เอี้ยวกลับไปมองด้านหลัง สานุศิษย์คนนั้นกำลังขยับมือถี่ยิบ ดูท่าคงจะใกล้เสร็จเต็มที
“ดูเหมือนท่านจะสุขสบายดี” สรรพนามเรียกขานที่เปลี่ยนไป บ่งบอกถึงตำแหน่งของเยี่ยซิวในใจของบาทหลวงแซ่จาง
“พูดได้แล้วหรือ ข้านึกว่าเจ้าเป็นใบ้ไปเสียแล้ว”
“ท่านไม่ได้ไร้พลังดังที่กล่าว ไยต้องจ้องสานุศิษย์คนนั้นราวกับจะกลืนกินอีก” จางซินเจี๋ยลุกขึ้นนั่งบ้าง โอบอินคิวบัสเข้าหาตัว
ใช่ ทั้งหมดล้วนเป็นการแสดงของเยี่ยซิวทั้งสิ้น แม้จางซินเจี๋ยจะประเมินพลังของปีศาจตนนี้ไว้สูงก็จริง แต่สุดท้ายก็ยังคาดการณ์ผิดไปอยู่ดี เพราะหากเยี่ยซิวเอาจริง แม้แต่ศาสนจักรแห่งแสงที่แสนยิ่งใหญ่ อินคิวบัสตนนี้ก็สามารถทำลายได้อย่างไม่ยากเย็น
“รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่” เยี่ยซิวทิ้งน้ำหนักตัวให้จางซินเจี๋ยรองรับโดยปราศจากความกังวลใจ
“ตอนที่สอดใส่”
“แล้วเหตุใดยังทำต่อเล่า”
จางซินเจี๋ยไม่ตอบคำถามนั้น แต่เชื่อว่าเยี่ยซิวคงรับรู้ได้
ผลไม้ต้องห้าม แค่ลิ้มลองสักครั้งก็ไม่มีทางให้หวนกลับอีกแล้ว
ทว่าต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ จางซินเจี๋ยก็ยังเลือกเส้นทางนี้อยู่ดี ต่อให้ถูกปั่นหัวสักแค่ไหน ถูกลวงหลอกด้วยความตายจอมปลอม แต่มันก็ทำให้จางซินเจี๋ยตระหนักได้ เขาเพียงแค่ต้องการข้ออ้างให้ตัวเองสามารถก้าวเข้าไปหาสีดำอันมืดมิดแสนน่าหลงใหลนั้นได้
“อ่า น่าเสียดาย” อินคิวบัสพึมพำยามเห็นสานุศิษย์คนนั้นฉีดพ่น ‘อาหาร’ ลงบนพื้นหินเย็นเยียบ แล้วเขาก็หลุดครางเมื่อจางซินเจี๋ยรุกล้ำเข้ามาในร่างอีกครั้ง
“วันนี้ซินเจี๋ยเร่าร้อนไม่เบา”
“ท่านบอกเองว่าข้าจะ ‘แทง’ สักกี่ครั้งก็ย่อมได้”
“อืม ข้าชักสงสัยเสียแล้ว ว่าเจ้าจะ ‘แทง’ ได้สักกี่ครั้ง อึก” ปีศาจราคะเชิดหน้าขึ้น เหตุเพราะจางซินเจี๋ยอุ้มเขาเอาไว้แล้วลุกขึ้นยืนโดยที่พวกเขายังเชื่อมต่อกันอยู่
บาทหลวงหนุ่มตวัดผ้าคลุมร่างแล้วมุ่งหน้ากลับห้องพักโดยไม่สนใจสานุศิษย์ที่ยังจ้องเยี่ยซิวตาค้าง
“ปล่อยเขาไว้เช่นนั้นจะดีหรือ”
“มีคนช่วยจัดการให้อยู่แล้ว ข้าให้ความสำคัญกับท่านมากกว่า”
“เด็กดี…”
***
อินคิวบัสแซ่เยี่ยอยู่ในท่านอนคว่ำ หันหน้าไปยังประตูห้องที่ไม่ได้ถูกปิด มือขวาเท้าคาง ขางอขึ้นทำมุมเก้าสิบองศากับเบาะ ปลายเท้าแสนสวยถูกบาทหลวงจางกอบกุมและไล่เลียราวกับเป็นขนมหวานแสนอร่อย
“จัดการเรียบร้อยแล้วก็รีบๆ เข้ามาร่วมวงสิ เสี่ยวอวี้” ประโยคดังกล่าวไม่ได้ทำให้จางซินเจี๋ยตกใจ ส่วนผู้ถูกเรียกก็เดินเข้ามาแต่โดยดี
อวี้เหวินโจวอยู่ในชุดบาทหลวงสีขาวงามสง่า รอยยิ้มประดับบนใบหน้าที่สดใสแฝงไปด้วยความสิเน่หา
“ไม่ได้พบกันเสียนาน มายลอร์ด” ชายหนุ่มตาสีครามเดินมาประชิดถึงเตียง นั่งลงแล้วมอบจุมพิตดูดดื่มแก่ปีศาจผู้เป็นที่รักยิ่ง
“ดูเหมือนเจ้าจะไม่แปลกใจ?” อวี้เหวินโจวถามลอยๆ ขณะถูนิ้วเสียดสีเมล็ดทับทิมสองข้างของปีศาจราคะที่กำลังปรือตา
“ก็แค่ละครหนึ่งฉาก” จางซินเจี๋ยไม่มองหน้าผู้ถาม สอดนิ้วคว้านเข้าไปในช่องทางที่เพิ่งรับเมล็ดพันธุ์ของเขาไปถึงสองรอบ
“แต่หนึ่งฉากนั่นก็ทำให้เจ้าร่วงหล่นได้”
“ไม่ว่าอย่างไร ผู้ตัดสินใจคือตัวข้า หาใช่เจ้าไม่”
อวี้เหวินโจวอยู่กับเยี่ยซิวมาหลายปี ตั้งแต่เห็นดวงตาสีอำพันพราวระยับพูดถึงจางซินเจี๋ย สัญชาตญาณก็เริ่มส่งเสียงเตือนในใจ จากนั้นเขาก็ลอบหาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับบาทหลวงแซ่จาง แล้วก็ต้องยอมรับเงียบๆ ว่าอีกฝ่ายมีคุณสมบัติครบถ้วน สมกับที่เยี่ยซิวหมายตา ดังนั้นเมื่ออินคิวบัสกล่าวถึง ‘โอกาสอันดี’ โดยไม่ใส่ใจเรื่องเอ็กโซซิสต์ ต่างจากยามปกติที่ปีศาจราคะมักจะทำหน้าเหม็นเบื่อแล้วเลือกที่จะเลี่ยงการปะทะ อวี้เหวินโจวก็ทราบแล้วว่าเยี่ยซิวคิดจะทำสิ่งใด จึงหาทางช่วยส่งเสริมให้บทละครที่ปีศาจรังสรรค์สั่นคลอนจิตใจของจางซินเจี๋ยมากกว่าเดิม ทั้งยังได้เอาคืนหนี้แค้นที่ถูกบาทหลวงยศต่ำกว่าเล่นงานจนเขาวุ่นวายไปเสียหลายวัน
หากตอนแรกจางซินเจี๋ยอาจจะสงสัยในการตายของเยี่ยซิวอยู่บ้าง แต่สภาพประหนึ่งผู้สูญเสียจุดยึดเหนี่ยวของอวี้เหวินโจวในวันนั้นเปลี่ยนความสงสัยให้กลายเป็นความมั่นใจ นอกจากนี้คำพูดทั้งหลายของบาทหลวงขั้นหนึ่งก็ส่งผลให้ตาชั่งในใจของจางซินเจี๋ยยิ่งเอนเอียง
ระหว่างศรัทธาในพระเจ้ากับความโหยหาต่อปีศาจอินคิวบัส
สิ่งใดเย้ายวนใจกว่ากันเล่า?
เมื่อได้จางซินเจี๋ยพบกับเยี่ยซิวอีกครั้ง ย่อมไม่สามารถกดข่มเสียงเพรียกจากส่วนลึกในจิตใจได้อีกต่อไป
ของที่คิดว่าสูญเสียไปแล้ว ปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้า ต่อให้รู้ดีว่าเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นการจัดฉาก จางซินเจี๋ยก็ปฏิเสธความต้องการของตนไม่ได้ กัดกินผลไม้ต้องห้ามนาม ‘เยี่ยซิว’ อย่างตะกรุมตะกราม แล้วในที่สุดก็กลายมาเป็นเช่นอวี้เหวินโจว
หลงใหลและศรัทธาในตัวปีศาจตนนี้
สิ่งอื่นนอกเหนือจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นสานุศิษย์คนนั้น โบสถ์หลังนี้ หรือคำสอนของพระผู้เป็นเจ้า ล้วนไม่สำคัญอีกต่อไป
ไม่ว่าจะมีจิตใจมั่นคงเพียงใด สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้แก่ราคะสีดำงดงามแสนบริสุทธิ์
“อืม เลิกทะเลาะกันได้แล้ว ข้ายังไม่อิ่มเลย” ประโยคเดียวของเยี่ยซิวสลายบรรยากาศประหนึ่งมีกระแสไฟฟ้าแล่นแปลบปลาบระหว่างสองหนุ่มได้ทันที
อวี้เหวินยิ้มอย่างอ่อนใจ กระเพาะของอินคิวบัสตนนี้ช่างไร้จุดสิ้นสุด เขาเริ่มไม่มั่นใจเสียแล้วว่าการได้จางซินเจี๋ยมาเป็นผู้ร่วมอุดมการณ์ จะช่วยให้เยี่ยซิวลดการออกล่าเหยื่อรายอื่นลง
ใช่แล้ว สาเหตุที่อวี้เหวินโจวเลือกที่จะช่วยให้เยี่ยซิวล่อลวงจางซินเจี๋ย นอกจากเพราะความรักแล้วก็เพราะต้องการลดจำนวนชายหนุ่มที่ปีศาจราคะจะทอดกายให้
เขาไม่สามารถห้ามอินคิวบัสไม่ให้รับประทานอาหาร แต่ก็ไม่อยากให้ร่างกายของปีศาจที่ตนรักไปแปดเปื้อนมือผู้อื่นมากนัก จึงต้องจำใจเลือกและช่วยเตรียม ‘อาหาร’ ที่มีคุณภาพดีให้อีกฝ่าย
***
ปีศาจราคะนอนหงายอยู่บนเตียง มีบาทหลวงนั่งประชิดอยู่คนละฝั่ง เขาหรี่ตามองคนทั้งคู่ด้วยความพึงพอใจกับกิจกรรมแสนหฤหรรษ์เมื่อสักครู่นี้
ดวงตาสีอำพันดูฉ่ำเยิ้มกว่าปกติ งดงามเสียจนสองหนุ่มอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจูบ ปรากฏว่าแก้มของพวกเขาชนกัน ขนทั่วร่างพลันลุกเกรียว สะดุ้งถอยกันไปคนละหนึ่งช่วงตัว จนอินคิวบัสหลุดหัวเราะ
“ไม่สามัคคีกันเหมือนเมื่อครู่นี้แล้วหรือ”
“ตอนนั้นคือเพื่อท่าน ส่วนตอนนี้ย่อมไม่จำเป็น” อวี้เหวินโจวยิ้มละไม แล้วชิงก้มลงมอบจุมพิตให้เยี่ยซิว จางซินเจี๋ยจึงต้องยึดพื้นที่บริเวณต้นคอแทน
“หากเป็นความต้องการของท่าน ข้าก็จะยอมฝืนทนสักเล็กน้อย มายลอร์ด”
“หืม รู้จากเหวินโจวแล้วว่าข้าเป็นมาร์ควิส?” หนึ่งในงานอดิเรกของเขาคือการแฝงตนอยู่ในสังคมของมนุษย์ นานวันเข้าก็ได้รับยศขุนนางนี้มาพร้อมกับที่ดินจำนวนหนึ่ง เม็ดเงินจากการเก็บภาษีที่ดินในเขตที่ตนดูแลมีเหลือมากเกินพอ ปีศาจนึกสนุกจึงบริจาคเงินในฐานะมาร์ควิสเพื่อสร้างโบสถ์และเปิดสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเมื่อราวสองร้อยปีก่อน จากนั้นเขาก็ใช้มนตร์สะกดเล็กๆ น้อยๆ ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่ามาร์ควิสเยี่ยมีทายาทสืบต่อเชื้อสายมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงปัจจุบัน
จางซินเจี๋ยยังไม่ทันจะได้ตอบคำถาม บาทหลวงอีกคนก็ชิงพูดเสียก่อนว่า“เขาเองก็เคยอยู่ที่โบสถ์กลอรี่ แต่คงไม่เคยเจอท่าน ดวงตาถึงได้มืดบอดไปสักหน่อย”
“ข้าก็ไม่ได้แวะไปที่นั่นบ่อยนัก อันที่จริงที่พบเจ้าในวันนั้นถือเป็นเรื่องบังเอิญอย่างแท้จริง”
“สำหรับข้าถือเป็นวาสนาที่ยิ่งใหญ่” อวี้เหวินโจวอมยิ้มเมื่อนึกถึงวันวานที่ได้พบกับเยี่ยซิวเป็นครั้งแรก งดงามและตราตรึงอยู่ในจิตใจของเขาไม่เสื่อมคลาย
“ตอนนั้นเจ้ายังตัวเล็กนิดเดียวทำอะไรก็ไม่เป็น ต่างจากตอนนี้ยิ่งนัก” เยี่ยซิวพึมพำแล้วเริ่มคืบคลานไปหาบาทหลวงแซ่อวี้ จากนั้นพวกเขาก็เริ่มกอดจูบกันท่ามกลางสายตาคับแค้นใจแต่ก็จำทนของใครอีกคน
จางซินเจี๋ยต้องเฝ้ารอโอกาสอยู่พักใหญ่จึงจะหาทางแทรกเข้าไปร่วมกิจกรรมเข้าจังหวะได้ หลังจากนั้นบาทหลวงสองท่านก็ผลัดกันปรนเปรอปีศาจราคะให้อิ่มหนำ
***
เมื่อมีเหยื่อชั้นดีถึงสองคน เยี่ยซิวจึงอิ่มเอมกับมื้ออาหารในคืนนี้เป็นพิเศษโดยเฉพาะยามที่ได้รับ ‘ดาบ’ ถึงสองเล่มในเวลาเดียวกัน
“ข้าไม่ได้สนุกเช่นนี้มานานมากแล้ว น่าเสียดายที่พวกเจ้าอยู่คนละโบสถ์”
“สำหรับเรื่องนี้ท่านไม่มีความจำเป็นต้องกังวล มายลอร์ด” อวี้เหวินโจวตอบ
เมื่ออินคิวบัสส่งเสียงในลำคอเป็นเชิงถาม จางซินเจี๋ยจึงอธิบายว่า “เขาคงวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว อีกไม่นานข้าจะต้องย้ายปฏิบัติหน้าที่ที่โบสถ์หลังนั้น ใช่หรือไม่?”
เขาหันไปหาบาทหลวงตาสีคราม อีกฝ่ายก็รับช่วงอธิบายเพิ่มเติมด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มประจำตัว
รอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา…
“โบสถ์หลังนี้เก่ามากแล้ว ช่วงนี้ได้ยินว่าลมจะพัดแรง หากสานุศิษย์ไม่ระวัง ทำตะเกียงน้ำมันหล่น ไฟอาจลุกลามจนดับไม่ได้ บาทหลวงจางเป็นบาทหลวงที่ดี ข้าย่อมยินดีที่จะรับเขาเข้ามาช่วยจัดการงานต่างๆ”
ส่วนสานุศิษย์ผู้โชคร้ายคนนั้นก็คงจะติดอยู่ในกองเพลิง
เยี่ยซิวผงกศีรษะเป็นเชิงเข้าใจ มิน่า จางซินเจี๋ยถึงไม่คิดจะทำอะไรกับสานุศิษย์ที่เห็นพวกเขาในห้องสารภาพบาป
“เฮ้อ พวกเจ้านี่น่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจเช่นข้าเสียอีก”
“ว่ากันว่าจะอยู่กับปีศาจก็จงคิดอย่างปีศาจ และข้าจะอยู่กับท่านไปชั่วชีวิต มายลอร์ด” อวี้เหวินโจวตอบพลางคว้ามือเรียวไปจุมพิตที่หลังมือ จากนั้นจางซินเจี๋ยก็กระทำเช่นเดียวกัน
“อยากทำเช่นไรก็ตามใจพวกเจ้าเถิด แต่อย่าลืมเตรียมเตียงที่ใหญ่และแข็งแรงไว้สักหน่อย” เยี่ยซิวยิ้มอย่างเอ็นดู ดูเหมือนเขาจะได้รับสาวกที่ยินยอมมอบกายและใจให้เพิ่มมาอีกหนึ่งคน
ทว่าน่าเสียดายที่แม้ว่าทั้งคู่จะร่วมมือกันปรนเปรอเขาอย่างเต็มที่ในคืนเดียว ก็ยังเติมกระเพาะของเขาไม่เต็ม
แต่ก็ช่างเถอะ ปกติเขาก็ไม่เคยได้กินจนอิ่มแปล้อยู่แล้ว ดังนั้นได้กินอาหารชั้นเลิศเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรย่อมดีว่าอาหารสามัญธรรมดา
***The End***
คุยกันเล็กน้อย (23/2/62): จบแล้วค่า พี่อวี้คนดี(?)ที่ยอมตามใจอินคิวบัสเยี่ยมาตลอดไงล่ะ ไม่ได้ดาร์กสักกะหน่อย ส่วนเสี่ยวจางก็นั่นแหละ ที่จริงก็คงหลงเสน่ห์เยี่ยเยี่ยไปแล้ว แค่ไม่ยอมรับเท่านั้นเอง จ้องจะฆ่าแทน ต้องให้เสียไปแล้วถึงจะสำนึกได้ หึ และถึงเยี่ยซิวจะดูเหมือนยังไม่ได้รักอวี้กับจาง แต่ในอนาคตเชื่อว่าจะค่อยๆ ถูกความรักของสองคนนั้นหลอมละลายได้แน่ๆ เลย